วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อันตรายจากโทรศัพท์มือถือ


      คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า  ที่ถูกปล่อยออกมาจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิก ต่างๆ โดยเฉพาะการส่งสัญญาณของเครื่องโทรศัพท์มือถือ ระบบใหม่ๆ กำลังทำอันตรายคุณอย่างเงียบๆ......






 Dr.Om Ghandhi แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ กล่าวว่า เนื้อสมองของเด็กวัย 5-10 ขวบ ซึ่งยังอ่อนอยู่ จะถูกสัญญาณของคลื่น WiFi ทะลุทะลวงได้มากกว่าสมองของผู้ใหญ่


 สัญญาณ Wi-Fi มีผลต่อทารกในครรภ์มารดา ซึ่งรายงานนี้ได้ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ ที่มีชื่อว่า the Australasian Journal of Clinical Environmental Medicine
       
       โดยรายงานนี้ได้ระบุว่า สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยจากอุปกรณ์ที่มีสัญญาณ Wi-Fi เป็นสาเหตุให้เกิดการจับตัวกันของธาตุโลหะในเซลล์สมอง ซึ่งการสะสมนี้จะทำให้เกิดอาการออทิสติกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าสัญญาณ WiFi เป็นอันตรายกับเด็ก เพราะสัญญาณที่ส่งออกไปทำให้เซลล์ในร่างกายหยุดการทำงาน ทำให้ไม่สามารถหายใจได้สะดวก และทำให้ดีเอ็นเอภายในร่างกายถูกทำลายและทำงานไม่เป็นปกติหลังจากได้รับไปเป็นเวลานาน และคลื่นเหล่านี้ถูกค้นพบว่าทำให้มีผลต่อเม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจทำให้เป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว
      
       ในปัจจุบันโรงเรียนประถมเซนต์วินเซนต์ยูเฟรเซีย ใน Meaford ออนตาริโอ ของแคนาดา ได้ห้ามไม่ให้มีระบบสัญญาณ Wi-Fi ในโรงเรียนระดับอนุบาลและประถมต้น เช่นเดียวกับบางโรงเรียนอนุบาลในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย เนื่องจากมีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า คลื่นความถี่ของระบบสัญญาณ WiFi ที่มีความเข้มข้นนั้นอาจมีผลเสียต่อพัฒนาการและอาจทำให้เกิดเนื้องอกในสมองของเด็กได้
      
       การมีคลื่นสัญญาณ WiFi ใช้สร้างประโยชน์ให้กับเราอย่างมากมาย ทั้งเรื่องการติดต่อสื่อสาร การค้นคว้าข้อมูลเพื่อการศึกษา การทำธุรกิจการค้า ฯลฯ แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่มีแต่ประโยชน์และไม่มีโทษร่วมด้วย
      ดังนั้นจึงควรใช้มันอย่างฉลาด รู้จักควบคุมการใช้ของตัวเอง เช่นการไม่ใช้นานเกินไปในแต่ละวัน หรือใช้เฉพาะที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้นก็พอ ซึ่งนอกจากสัญญาณ WiFi แล้ว ยังรวมถึงการใช้ไมโครเวฟ และโทรศัพท์มือถือด้วยที่มีผลเสียต่อร่างกายได้ถ้าใช้อย่างไม่ระวังหรือมากเกินไป ด้วยรักและห่วงใย ป้องกันไว้ดีกว่าแก้กันเถอะ

      
      
 ข้อมูลอ้างอิง http://www.earthcalm.com/lp-children-and-emfs/wi-fi-health-risks-and-children/
        ดร.แพง ชินพงศ์ ข่าว ASTV ผู้จัดการออนไลน์


พลังธรรมชาติ พลังชีวิต



           โลก ที่เราอาศัยอยู่นี้คือ แท่งแม่เหล็ก  ขนาดใหญ่

      การดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์บนโลกใบนี้  มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า..       " พลังธรรมชาติ "  เข้ามาเป็นส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญมาก ซึ่งพลังธรรมชาตินี้ สามารถทำให้ตัวตนของเรากลับมารู้สึกสดชื่น แข็งแรง มีพลัง สมองปลอดโปล่ง ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว  พลังธรรมชาตินี้มาจากไหนและเราจะสัมผัสได้อย่างไรขอเชิญติดตามได้ดังต่อไปนี้...

ลำดับแรก..ขอให้เริ่มทำความเข้าใจตามไปว่า...โลกกลม ที่เราอาศัยอยู่ใบนี้มีสภาพเป็นดังแท่งแม่เหล็ก  แล้วตัวมนุษย์เราเองนั้นใช้ชีวิตอยู่บนพื้นผิวโลกที่เต็มไปด้วย  "..สนามแม่เหล็กโลก.."





  เราทราบว่าโลกหมุนรอบตัวเองแต่ อะไรเล่าที่ทำให้โลกหมุน   
คำตอบคือ  เนื่องจากที่แกนกลางของโลก ยังมีสภาพเป็นหินร้อนที่หลอมเหลวอยู่  (ลาวา ) ซึ่งส่วนนี้จะไม่ได้หมุนไปพร้อมๆกันกับส่วนที่เป็นผิวโลก หรือเปลือกโลก ลักษณะเช่นนีจึงทำให้เกิดภาวะกระแสแม่เหล็กโลกขึ้นนั้นเอง 
 ส่วน ความเร็วที่โลกหมุนรอบตัวเองนั้นเร็วถึง 1,700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ! จึงส่งแรงกระทำต่อกันเกิดเป็นแรงแม่เหล็กโลกขึ้น แต่มนุษย์บนโลกกลับไม่รู้สึกเลยว่าโลกกำลังหมุนอยู่













ร่างกายของเรา มีกระแสไฟฟ้าอยู่ และก็มีสนามแม่เหล็กด้วย

นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า สมองและหัวใจ ของมนุษย์เราก็สร้างสนามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา











   จิตแพทย์ชาวออสเตรีย  นายแพทย์..ฮานส์ เบอร์เกอร์    เป็นผู้ค้นพบคลื่นสมองในปี 2451 ด้วยการใช้เครื่องมือที่วัดคลื่นสมองเรียกว่า EEG (Electro Encephalogram) วัดคลื่นสมองและแบ่งคลื่นสมองออกเป็น 4 ระดับคือ
 1. คลื่นเบต้า (Beta Wave )  2. คลื่นอัลฟา (Alpha Wave) 3. คลื่นธีต้า (Theta) 4. คลื่นเดลต้า (Delta)
ในการนั่ง สมาธิ แล้วจิตสงบนิ่งคลื่นสมองจะอยู่ในระดับต่ำคือระดับอัลฟา ถึง ธีต้า  



  






     วิลเลม ไอน์โธเฟน (Willem Einthoven) ชาวเนเธอร์แลนด์  ผู้ค้นพบเกี่ยวกับกลไกของคลื่นไฟฟ้า หัวใจ (electrocardiogram)และได้รับรางวัลโนเบลในปี 1924


นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียค้นพบว่าสาเหตุสำคัญของความแก่ชราและการตายของมนุษย์เกิดจากการขาดประกอบ ATP   ( Adenosine Triphosphates )  เป็นพลังงานที่พบได้ในเซลล์สิ่งมีชีวิต ATP จะนำพลังงานเคมีภายในเซลล์มาใช้สำหรับการเผาผลาญ  เป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายต้องการเพื่อให้อยู่รอด และช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต 
  ส่วน นักชีววิทยาชาวอเมริกัน ค้นพบว่าพลังงานประจุไฟฟ้าลบสามารถกระตุ้นให้เกิดเอนไซม์ ATP และ องค์ประกอบของ ATP จะเห็นว่าในแต่ละเยื่อหุ้มเซลล์ในร่างกายมนุษย์จะมีพลังงานไฟฟ้าสูงถึง 30-40 ไมโครโวลต์ และในคน 1 คน มีเซลล์มากถึง 6 แสนล้านเซลล์ดังนั้นจึงมีพลังงานประจุกระแสไฟฟ้าในร่างกายอย่างมากมายนับไม่ถ้วนทีเดียว มีการประมาณกันไว้ว่า พลังงานประจุไฟฟ้าในเยื่อหุ้มเซลล์ ของเด็กจะมีประมาณ 70-90 ล้านโวลต์ ผู้สูงอายุมีต่ำกว่า 60 ล้านโวลต์ ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีพลังงานประจุไฟฟ้าประมาณ 15 ล้านโวลต์ และเมื่อเซลล์ตายพลังงานประจุไฟฟ้าจะเท่ากับ 0 โวลต์